วิธีรักษาฝ้า & รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ! หน้าเป็นฝ้าทําไงดี?

ฝ้า (Melasma) ปัญหาสุดกลุ้มของผิวพรรณ ที่เรียกได้ว่าเป็นญาติสนิทกับรอยกระ เพราะกระบวนการเกิดนั้นคล้ายคลึงกันมาก แต่ฝ้าจะมีบริเวณที่กว้างกว่า มองเห็นได้ชัดกว่า สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของใบหน้า แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีฝ้าบริเวณโหนกแก้ม โดยตัวเลขเฉลี่ยของคนที่เป็นฝ้าส่วนใหญ่จะเริ่มจากวัย 30 ปีขึ้นไป

สาเหตุการเกิดฝ้า

ฝ้าเกิดจากอะไร? ฝ้า หรือ Melasma เกิดจากการที่เม็ดสีผิวหรือเม็ดสีเมลานิน (Melanin pigment) ทำงานมากเกินไป จึงทำให้สีผิวไม่สม่ำเสมอ เนื่องมาจากเจ้าเม็ดสีเมลานินนั้นมีหน้าที่กรองรังสียูวี เมื่อผิวได้รับแสงแดดมากขึ้น เมลานินก็จะถูกผลิตออกมามากขึ้นตามไปด้วย โดยรังสีที่มีผลต่อการเกิดฝ้าคือ "รังสี UVA" ซึ่งรังสียูวีเอจะมีช่วงคลื่นที่ยาวกว่ารังสียูวีบี จึงสามารถทำลายผิวได้ลึก จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตากแดดนานๆ แล้วผิวถึงคล้ำเสียได้ และนอกจากแสงแดดแล้ว เรื่องของการใช้เครื่องสำอางบางชนิด การทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด รวมไปถึงฮอร์โมนและกรรมพันธุ์ ก็เป็นสาเหตุของการเกิดฝ้าได้เช่นกัน (ถ้าสาเหตุการเกิดฝ้ามาจากกรรมพันธุ์ โอกาสฝ้าจะกลับมาเกิดซ้ำจะมีสูงมาก และปริมาณอาจเท่าเดิมหรือลดลงกว่าเดิมเล็กน้อย จึงไม่คุ้มค่ากับการทุ่มเงินรักษาเท่าไร)

ฝ้าต่างจากกระ "เพราะฮอร์โมน" ถ้าเป็นกระส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากแสงแดด ความร้อน และอายุ แต่ในกรณีของฝ้ามักจะมีปัจจัยฮอร์โมนเข้ามาค่อนข้างเยอะ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็วตอนตั้งครรภ์ รวมไปถึงการที่ฮอร์โมนลดลงอย่างรวดเร็วก็ทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน อย่างช่วงการเข้าสู่วัยทอง และวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น

ประเภทของฝ้า

  • ฝ้าแบบตื้น: จะอยู่ในระดับผิวหนังกำพร้า (ผิวหนังชั้นนอก) ฝ้าชนิดนี้จะเป็นสีน้ำตาล ขอบชัด เกิดขึ้นได้ง่าย และสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาไม่นาน
  • ฝ้าแบบลึก: จะอยู่ในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังกำพร้า ความลึกของมันจะทำให้เกิดการแสดงสีออกมา เป็นสีน้ำตาลอมฟ้าหรือสีน้ำตาลอมม่วง เป็นฝ้าที่รักษาได้ยาก การทายามักให้ผลเพียงแค่ทำให้ดูจางลงเท่านั้น

Topthai clinic จะมาแนะนำ เรื่อง วิธีรักษาฝ้า & รักษาฝ้าด้วยวิธีธรรมชาติ ไปดูกันเลย!

วิธีรักษาฝ้า

1

การป้องกัน ดูแลผิว เป็นเรื่องสำคัญที่สุด

คุณควรเริ่มต้นจากการหลีกเลี่ยงแสงแดด ถ้าหากต้องเผชิญแสงแดดก็ควรแต่งกายแบบไม่เผยผิว พร้อมกับทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวจากรังสียูวี โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 ขึ้นไป และต้องเป็นแบบ PA+++ ด้วย ถึงจะช่วยปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าต้องอยู่ภายใต้แสงแดดตลอดทั้งวัน คุณอาจเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงมากกว่านี้ แต่ให้หมั่นทาครีมกันแดดบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าครีมกันแดดยังมีประสิทธิภาพดีพอต่อการป้องกันแสงแดด ส่วนไอร้อนจากเตา รังสีจากหน้าจอคอมพ์ ก็เป็นเหตุทำให้เกิดฝ้าได้เช่นกัน ดังนั้นเลี่ยงได้ควรเลี่ยงเลย นอกจากนี้คุณควรสังเกตตัวเองด้วยว่าเรารับประทานยาอะไรที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้าหรือเปล่า เช่น ยาคุมกำเนิด ใช้เครื่องสำอางอะไรแล้วแพ้จนเป็นรอยคล้ายฝ้าหรือไม่ (ส่วนมากแล้วจะเป็นเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำหอมจะเป็นตัวการทำให้เกิดฝ้าลึก รวมไปถึงครีมทาผิวประเภทไวเทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารอันตรายอย่างสาร "ไฮโดรควิโนน") เป็นต้น

2

ดูแลตัวเองจากภายใน

นอกจากการทายา ทำทรีตเมนต์ รวมไปถึงการรักษาด้วยวิธีต่างๆ ในระหว่างการรักษาเราสามารถดูแลตัวเองจากภายในได้ โดยการรับประทานทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี ที่เป็นตัวช่วยทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ฝ้าขยายตัวใหญ่ขึ้นนั่นเอง

3

เลือกใช้ครีมบำรุง

(ครีมรักษาฝ้า) การเลือกครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของ AHA, วิตามินซี, อาร์บูติน (Arbutin), กรดโคจิก (Kojic) รวมไปถึงครีมทาฝ้า ครีมแก้ฝ้า หรือครีมรักษาฝ้าต่างๆ ก็สามารถทำให้ฝ้าจางลงและทำให้หน้าดูกระจ่างใสขึ้นได้ เพียงแต่ต้องใช้ระยะเวลานานหน่อยเท่านั้น

4

สูตรหัวไชเท้า

"รักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า"

สูตรรักษาฝ้าด้วยหัวไชเท้า คุณสามารถทำได้ง่ายๆ เพียงแค่นำหัวไชเท้าบดหยาบๆ มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 10-20 นาที (แล้วแต่สภาพหน้าของแต่ละคนว่ารับได้แค่ไหน ส่วนคนที่มีผิวแพ้ง่ายไม่ควรใช้สูตรนี้) แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น ให้คุณทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง หรือวันเว้นวัน ก็จะช่วยลดฝ้าทำให้ฝ้าดูจางลงได้มากเลยทีเดียว และนอกจากจะช่วยลดฝ้าได้แล้วหัวไชเท้ายังมีสรรพคุณช่วยลดริ้วรอยต่างๆ และทำให้หน้ากระจ่างใสขึ้นได้อีกด้วย แต่หลังจากล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นแล้ว ก็ให้กระชับรูขุมขนด้วยโทนเนอร์หรือน้ำเย็นเพื่อป้องกันไม่ให้รูขุมขนกว้าง

5

สูตรว่านหางจระเข้

"รักษาฝ้าด้วยว่านหางจระเข้"

วิธีรักษาฝ้าแบบธรรมชาติ ให้คุณใช้ว่านหางจระเข้ 1 ใบใหญ่ (เลือกใบล่าง ๆ แบบที่แก่แล้ว) นำไปแช่น้ำประมาณ 10 นาที จากนั้นก็ปอกเปลือกออกและล้างให้สะอาด นำไปปั่นหรือบดก็ได้ตามถนัด แล้วจึงนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที โดยสูตรนี้หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยให้ฝ้าหายได้ไวยิ่งขึ้น

6

สูตรมะขามเปียก

"รักษาฝ้าด้วยมะขามเปียก"

อีกหนึ่งวิธีรักษาฝ้าด้วยสมุนไพร ให้คุณนำเนื้อมะขามเปียกมาพอกหรือทาบางๆ บริเวณผิวที่เป็นรอยฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที แล้วล้างออก วิธีนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าทำให้รอยฝ้าดูจางลงและยังช่วยลดรอยด่างดำได้ด้วย แต่ถ้าที่บ้านคุณไม่มีมะขามเปียก ก็อาจเลือกใช้เป็นน้ำมะนาวหรือน้ำมะกรูดแทนก็ได้

7

สูตรใบบัวบก

"ใบบัวบกรักษาฝ้า"

สมุนไพรรักษาฝ้าอีกสูตร ซึ่งจากการวิจัยพบว่า ใบบัวบกนั้นมีสรรพคุณในการช่วยรักษาอาการของโรคผิวหนังได้ โดยเฉพาะฝ้า กระ และสิว วิธีใช้ก็ไม่ยาก เพียงแค่นำมาปั่นแล้วใช้น้ำใบบัวบกมาเช็ดหน้าแทนการใช้โทนเนอร์ก่อนนอนทุกวัน เพียงเท่านี้รอยฝ้าต่างๆ ก็จะค่อยๆ จางลง เหลือไว้แต่ใบหน้าอันขาวเนียนสดใส

8

สูตรไข่ขาว

"ไข่ขาวรักษาฝ้า"

เพียงแค่นำไข่ขาวบริเวณรอบๆ ไข่แดง (เฉพาะไข่ขาว) มาทาบางๆ ให้ทั่วบริเวณที่เป็นฝ้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ไข่ขาวจะช่วยดูดซับรอยฝ้าและสิ่งสกปรกให้หมดไปจากใบหน้าของคุณได้

9

สูตรน้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์

"แอปเปิ้ลไซเดอร์รักษาฝ้า"

ใครจะรู้ว่าน้ำส้มสายชูจากผลแอปเปิ้ล จะมีประโยชน์ในด้านการช่วยดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า เนื่องจากในน้ำส้มสายชูนั้นมีฤทธิ์กรด จึงช่วยทำให้ผิวดูกระจ่างใสและเนียนนุ่มขึ้นได้ เพียงแค่คุณนำมันมาผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อย แล้วใช้สำลีชุบและเช็ดให้ทั่วใบหน้า รอจนแห้งแล้วจึงล้างออก

10

ลอกฝ้าด้วยกรด TCA, กรด AHA ฯลฯ

(Chemical peeling) นับว่าเป็นวิธีที่ปลอดภัย (แม้ว่าจะได้ผลช้า) ที่สามารถช่วยทำให้เซลล์ผิวชั้นบนกับเม็ดสีเมลานินหลุดออกมาได้ โดยเป็นการผลัดเซลล์ผิวเก่าและช่วยผลักดันให้เซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่หลังการทำทรีตเมนต์นี้ หน้าของคุณจะไวต่อแสงแดดมาก จึงต้องป้องกันให้ดีหลังการทำ คลินิกที่ให้บริการทรีตเมนต์ตัวนี้จะแนะนำให้ทำเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

11

ยากินรักษาฝ้า

(Tranexamic acid) ปกติแล้วยากินชนิดนี้จะเป็นยากินที่มีคุณสมบัติทำให้เลือดแข็งตัว มีข้อบ่งใช้ที่ได้รับการรับรอง คือ การนำมาใช้รักษาและป้องกันภาวะเลือดออกในผู้ป่วยเลือดไหลหยุดยาก ส่วนการใช้ยานี้เพื่อรักษาฝ้านั้น ก็เนื่องมาจากกลไกการออกฤทธิ์ของยาที่สามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสีเมลานินได้ จึงมีผลทำให้ฝ้าจางลง อย่างไรก็ตามข้อบ่งใช้ส่วนนี้ยังไม่ได้รับการรับรอง และยังไม่มีรายงานด้านความปลอดภัยเมื่อใช้เป็นระยะเวลานาน อีกทั้งข้อห้ามในการใช้และผลข้างเคียงของยาชนิดนี้ก็มีหลายอย่าง เช่น มีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน เจ็บหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ ฯลฯ และจากการศึกษาผลการรักษาฝ้าส่วนใหญ่ก็มาจากการทดลองในสัตว์ ส่วนการศึกษาในมนุษย์นั้นก็พบเฉพาะในรูปแบบของยาใช้ภายนอกซึ่งก็ไม่ใช่ยากิน ดังนั้นจึงแนะนำว่าผู้จะใช้ยาหรือกำลังใช้อยู่ ให้หาทางเลือกอื่นมาใช้ในการรักษาฝ้าแทน

12

รักษาด้วยไฮโดรควิโนน

รักษาด้วยไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ยาทาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน สามารถช่วยให้การผลิตเม็ดสีถูกขัดขวางจนทำให้ผิวบริเวณที่เป็นฝ้าขาวขึ้นมาได้ แต่แม้ว่าไฮโดรควิโนนจะให้ผลในการรักษาที่ดี แต่มันก็มีข้อเสียและควรระวัง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทาง อย. ไทย ไม่อนุญาตให้ซื้อขายกันได้อย่างเสรี เว้นแต่แพทย์เท่านั้นที่สามารถจ่ายครีมที่มีส่วนผสมของยาชนิดนี้ได้

13

ฉีดเมโสรักษาฝ้า

ฉีดเมโสรักษาฝ้า (Mesotherapy) เป็นการใช้เข็มเล็กๆ ฉีดตัวยาเข้าไปในชั้นผิวตื้นๆ เพื่อการกระจายตัวยาที่ใช้รักษากระลงสู่ชั้นเซลล์ที่มีปัญหา โดยจะฉีดลึกลงไปประมาณ 1-2 มม. ระยะห่างกันไม่เกิน 1 เซนติเมตร เฉพาะบริเวณที่มีปัญหากระและฝ้า แต่ต้องทำการฉีดซ้ำทุกๆ 1-2 อาทิตย์ วิธีนี้ถ้าจะหวังผลการรักษาให้เป็นที่พอใจคงเป็นไปได้ยาก อย่างมากก็แค่ช่วยให้ฝ้าดูจางลงเท่านั้น

14

ฉีดสเต็มเซล์

ฉีดสเต็มเซล์ มีงานวิจัยชี้ว่าการฉีดสเต็มเซลล์ให้กับคนที่ต้องการรักษาผิวพรรณเพื่อย้อนวัยตัวเอง จะส่งผลทำให้ฝ้าลดลงตามไปด้วย เมื่อทำการทดลองกับคนที่ไม่ได้ต้องการย้อนวัย แต่ต้องการรักษาฝ้าเพียงอย่างเดียว ก็พบว่าสเต็มเซลล์ก็สามารถช่วยลดฝ้าได้จริง ไม่ว่าจะเป็นสเต็มเซลล์จากรกของเด็กที่เพิ่งคลอด หรือสเต็มเซลล์จากผิวหนังแกะ

15

ไอออนโตรักษาฝ้า

ไอออนโตรักษาฝ้า (Iontophoresis) เครื่องมือชนิดนี้อาศัยหลักการให้กำเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อนๆ มีผลช่วยผลักยาหรือวิตามินที่เราทาไว้บนผิวให้ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ยาออกฤทธิ์ในการรักษาได้ดี โดยยาที่นิยมนำมาใช้จะอยู่ในรูปแบบของเจล อย่างเจลอาร์บูติน, เจลโคจิก, เจลวิตามินซี, เจลลิโคไลซ์ และทรานซามิคเจล การรักษาแบบนี้มีผลข้างเคียงน้อย แต่อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้าง หากทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง รับรองได้เลยว่าฝ้าคุณต้องจางลงอย่างแน่นอน ส่วนเครื่องโฟโน (Phonophoresis) ก็สามารถนำมาใช้ร่วมกับเจลเพื่อช่วยผลักยาเข้าสู่ผิวได้เช่นเดียวกับเครื่องไอออนโต ทำแล้วให้ความรู้สึกสบายกว่าการทำไอออนโต แต่โดยส่วนตัวคิดว่าการทำด้วยเครื่องไอออนโตน่าจะให้การรักษาที่ดีกว่า (จากเคสตัวอย่างด้านล่าง คือ ก่อนและหลังการทำไอออนโตโดยใช้วิตามินซี จำนวน 8 ครั้ง)

16

กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี

กรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion : MD) เพื่อช่วยเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกำพร้าให้หลุดเร็วขึ้น ก็สามารถช่วยลดรอยดำจากฝ้าได้ (เหมาะกับฝ้าแบบตื้น) แต่อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากำหนดระดับความแรงในการทำงานของเครื่องมือสูงเกินไป

17

รักษาฝ้าด้วย IPL

รักษาฝ้าด้วย IPL (Intense Pulsed Light) เครื่องประเภทนี้มีหลักการทำงานคล้ายเลเซอร์ (จึงถูกเรียกเหมารวมว่าเป็นเลเซอร์) นั่นก็คือเป็นการใช้แสงยิงลงไปที่ผิวให้เกิดความร้อน และความร้อนนั้นจะไปทำลายโปรตีนของเม็ดสีผิวหรือเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างใสขึ้น กระบวนการทำไม่มีความเจ็บปวดและไม่ต้องทายาชาเหมือนการทำเลเซอร์ทั่วไป หลังทำเสร็จอาจมีรอยแดงบ้างเล็กน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และจะค่อยๆ จางหายไปเอง หลังการทำ IPL แล้ว จุดที่เป็นฝ้าแดดอาจมีการตกสะเก็ดบ้าง แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะมันจะค่อยๆ หลุดออกมาเอง และเพื่อให้ผลที่ดีในการรักษาควรทำติดต่อกันทุก 2 สัปดาห์ ในช่วงแรก และกลับมาทำอีกทุกๆ 1-2 เดือน เพื่อยังผลการรักษาเอาไว้ แต่อย่างไรก็ดี การทำ IPL ก็ไม่สามารถทำให้ฝ้าหายขาดได้ เพียงแต่ช่วยทำให้มันจางลงเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปมีโอกาสจะกลับมามีสีเข้มเหมือนเดิม ดังนั้นทำไปแล้วก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยล่ะ ไม่อย่างงั้นจะเสียเงินฟรีๆ

18

เลเซอร์ Fraxel

เลเซอร์ Fraxel เป็นเลเซอร์ที่ใช้พลังงานความร้อนเพื่อเข้าไปกระตุ้นเซลล์ผิวให้ผลัดผิวไวยิ่งขึ้น จึงทำให้ส่วนที่เป็นฝ้าถูกผลัดออกไปด้วย การทำ Fraxel แม้จะมีความปลอดภัยแต่ก็ทำให้ใบหน้าบวมแดงได้หลังจากทำเสร็จแล้ว และยังต้องระวังตัวเองจากแสงแดดในช่วงสัปดาห์แรกหลังทำให้มาก หากต้องการทำซ้ำ ควรทิ้งระยะห่างประมาณ 2 เดือน หรือขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

19

เลเซอร์ Pico Laser

"Pico Laser รักษาฝ้า"

Pico Laser คืออะไร

Pico Laser เป็นเครื่องเลเซอร์ที่มีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า Picosecond ซึ่งสามารถส่งพลังงานเลเซอร์ที่ความเร็วสูงสุดในระดับ 1 ต่อ ล้านล้านวินาที (One-trillionth of a second) ซึ่งความเร็วระดับ Picosecond ทำให้มีพลังงานแรงมากกว่าเลเซอร์รุ่นก่อนแต่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนสะสมบริเวณใต้ผิว ด้วย Pressure wave หรือการที่แสงเลเซอร์ถูกดูดเข้าไปนั้นเปลี่ยนจากความร้อนเป็นแรงดัน

ทำให้อะตอมของเม็ดสีที่เรียงตัวกันอยู่อย่างหนาแน่นเป็นกระจุกจนมองเห็นเป็นฝ้า กระ จุดด่างดำนั้น เกิดการแตกกระจายตัวออก และถูกดูดซึมออกจากร่างกาย

ทำให้เม็ดสีที่ผิดปกติจางลงในทันที สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่การรักษาในครั้งแรก โดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนการรักษาด้วยเลเซอร์แบบเดิม ไม่เจ็บ ไม่เสี่ยงต่อผิวไหม้

นอกจากนี้พลังงานแสงยังส่งพลังงานที่มีความถี่สูงลงมาถึงชั้นผิวหนัง Demis หรือชั้นที่อยู่ในระดับคอลลาเจน โดยกระจายทั่วผิวหนังยังมีผลทำให้เกิดการสร้างอีลาสติน และคอลลาเจนใหม่ จึงไม่เพียงแต่ทำให้ ฝ้า กระ รอยดำจางหายไป แต่ยังช่วยให้ผิวมีความแน่น เนียน และกระจ่างใส ริ้วรอยลดน้อยลงอีกด้วย

Pico Laser มีกี่แบบ?

Pico Laser จะมีความแตกต่างกันในแต่ละยี่ห้อในเรื่องของจุดประสงค์ในการใช้งานและการรักษา ซึ่งขึ้นอยู่กับความยาวของคลื่นพลังงาน ซึ่งในประเทศไทยมีการใช้อยู่ 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  • PICOSURE ความยาวคลื่น 755 nm : เป็นระดับความลึกที่เหมาะสมกับการรักษาปัญหาเม็ดสี เพราะมีคุณสมบัติในการดูดซับเมลานินได้ดีกว่า
  • PICOWay / PICOCARE / Nu PICO ความยาวคลื่น 1064 nm : เป็นระดับความลึกถึงเส้นเลือด เหมาะสมกับการรักษาปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดได้ดีกว่า หรือ รอยสักลึกที่ลบได้ยาก

PicoLaser ช่วยรักษาปัญหาใดบ้าง?

Pico Laser จะช่วยแก้ไขปัญหาสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเม็ดสี รวมไปถึงปัญหาผิวอื่นๆ

  • รักษากระบริเวณใบหน้า, แขน, หลังมือ หรือลำตัว
  • รักษาฝ้า กระ จุดด่างดำต่าง ๆ กระบริเวณใบหน้า, แขน, หลังมือ, ลำตัว
  • แก้ไขปัญหาความคล้ำบริเวณใบหน้า ริมฝีปาก รักแร้ ฐานนม
  • ลบรอยสักได้หลากหลายสี ตามบริเวณร่างกายและการสักคิ้ว
  • รักษาหลุมสิว

คลินิกรักษาฝ้าที่ไหนดี?..

หากใครต้องการรักษาฝ้าด้วย Pico laser ทาง Top Thai Clinic ได้รวบรวม คลินิกความงามที่รักษาฝ้ากระ จุดด่างดำ โดยใช้เครื่อง Pico laser Pico way Picosure ที่ดีที่สุด ปี 2024 มาให้เลือกกัน